ข่าวสาร

ไทยอาจต้องการคลังสินค้าเพิ่มอีก 1.7 ล้านตารางเมตรภายในปี 2568

รองรับการขยายตัวของภาคธุรกิจอีคอมเมอร์ส

มิถุนายน 17, 2565

ความต้องการสำหรับพื้นที่คลังสินค้าสมัยใหม่ในประเทศไทยยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตามการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซ แม้ที่ผ่านมา ภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกจะเผชิญกับความท้าทายจากเหตุการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 และผลกระทบอย่างรุนแรงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่มีการใช้มาตรการโต้ตอบทั้งในเชิงนโยบายและภาษี ตามบทวิเคราะห์ใน REDPAPER รายงานข้อมูลและเทรนด์ด้านอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งสนับสนุนการจัดทำโดย บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ FPT ร่วมกับบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล (JLL)

รายงานดังกล่าวได้รับการจัดทำขึ้นเป็นฉบับที่สอง ซึ่งในฉบับนี้ ได้นำเสนอแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมในประเทศไทยตั้งแต่ปีพ.ศ. 2561 จนถึงปัจจุบัน และเทรนด์สำคัญในอนาคต

การเติบโตของภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และ ภาคอุตสาหกรรมการผลิต อาทิ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอาหาร-เครื่องดื่ม เป็นปัจจัยที่ดึงดูดให้กลุ่มนักลงทุนบริษัทข้ามชาติ และผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์ยุคใหม่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ส่งผลให้ความต้องการพื้นที่คลังสินค้าระดับพรีเมียมเติบโตมากถึง 42.1 % ในปี 2564 ซึ่งทำให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมต่างเร่งพัฒนาโครงการเพื่อรองรับการเติบโของความต้องการดังกล่าว นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีความได้เปรียบด้านการมีทำเลที่ตั้งในใจกลางอาเซียน ซึ่งเปรียบเสมือนประตูเชื่อมสู่ทุกภูมิภาคในทวีปเอเชีย อีกทั้งยังมีความพร้อมในด้านทรัพยากรและเครือข่ายธุรกิจ รวมถึงการมีแรงงานทักษะสูงจำนวนมาก การมีระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นอย่างครบครัน รวมถึงโครงข่ายคมนาคมทั้งทางถนน ทางราง ทางอากาศ และทางน้ำ ซึ่งล้วนมีความสำคัญต่อการขนส่งและกระจายสินค้าที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ประเทศไทยสามารถตอบโจทย์ภาคธุรกิจโลจิสติกส์สมัยใหม่ได้ทุกด้าน

REDPAPER ยังได้นำเสนอมุมมองเพิ่มเติมจากบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ FPIT และเจแอลแอลในฐานะผู้มีความชำนาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม โดยคุณโสภณ ราชรักษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ในช่วงที่ผ่านมาตลาดคลังสินค้ามีการเติบโตสูงขึ้นอย่างมาก จากดีมานด์ของกลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซและผู้ประกอบการโลจิสติกส์ (3PL) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นอานิสงส์ให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และส่งผลให้ความต้องการคลังสินค้าเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับผู้ประกอบการในปัจจุบันเริ่มให้ความสำคัญกับการบริหารห่วงโซ่อุปทานอย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีความต้องการใช้บริการจากผู้ประกอบการโลจิสติกส์ (3PL) ที่มีความชำนาญงานด้านการจัดเก็บและบริหารสินค้า รวมถึงกิจกรรมการขนส่งและกระจายสินค้า เป็นต้น ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธุรกิจบริการคลังสินค้ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง” การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ขับเคลื่อนการเติบโตของทำเลศักยภาพหลายแห่งในประเทศไทย โดยการขยายตัวของภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซและ 3PL ทำให้ภาคโลจิสติกส์ในจังหวัดสมุทรปราการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยข้อได้เปรียบจากทำเลยุทธศาสตร์ที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ สนามบินสุวรรณภูมิ ท่าเรือกรุงเทพ ท่าเรือแหลมฉบัง และฐานการผลิตที่สำคัญในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกต่อการดำเนินงานบริการจัดส่งสินค้าในช่วงสุดท้าย (Last-mile Delivery) รวมถึงการนำเข้าและส่งออกสินค้าระหว่างประเทศโดยทางน้ำและอากาศ

ส่วนสามจังหวัดในอีอีซี ได้แก่ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง ล้วนเป็นที่ตั้งสำคัญของแหล่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และเป็นศูนย์กลางของภาคโลจิสติกส์ เพื่อการนำเข้าและส่งออก โดยเฉพาะผ่านท่าเรือน้ำลึก ประกอบกับมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มเติมในพื้นที่ ทำให้สามารถดึงดูดผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้มีความต้องการใช้พื้นที่โลจิสติกส์คลังสินค้าอย่างต่อเนื่องตามการเติบโตของอุตสาหกรรมในพื้นที่

สำหรับจังหวัดในภาคกลางดังเช่น พระนครอยุธยา ได้เริ่มกลับมาเป็นหนึ่งในทำเลยุทธศาสตร์ที่สำคัญของภาคอุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจโลจิสติกส์และการกระจายสินค้า สำหรับกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม อิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่ม FMCG (Fast Moving Consumer Goods ) แม้จะเคยผ่านเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ แต่ปัจจุบันพื้นที่นี้ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้า เนื่องด้วยมีความเชื่อมั่นในมาตรฐานการพัฒนาโครงการและมาตรการป้องกันอุทกภัยที่ผู้พัฒนาโครงการโลจิสติกส์ พาร์ค และนิคมอุตสหากรรมในจังหวัดดังกล่าวได้พัฒนาและปรับปรุงเป็นอย่างดีแล้ว

นอกจากนี้ ทางยกระดับบางปะอิน-นครราชสีมาที่เชื่อมต่อระหว่างกรุงเทพและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปีพ.ศ. 2566 ยังช่วยส่งเสริมดีมานด์คลังสินค้าที่ตั้งอยู่ในเส้นทางเพิ่มเติมมากยิ่งขึ้น เพราะผู้ประกอบการต่างเล็งเห็นถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการคมนาคมขนส่งที่มีประสิทธิภาพ

คุณเจเรมี่ โอซุลลิแวน ผู้อำนวยการ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา เจแอลแอล กล่าวว่า “ภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยยังคงมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง โดย JLL คาดการณ์ว่า ด้วยมูลค่ายอดขายรวม (GMV) ของธุรกิจอีคอมเมิร์ซทุกๆ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จะทำให้มีความต้องการเช่าพื้นที่คลังสินค้าเพิ่มขึ้น 120,000 ตารางเมตร ซึ่งอาจทำให้มีความต้องการใช้พื้นที่คลังสินค้าระดับพรีเมียมเพิ่มเติมอีก 1.7 ล้านตารางเมตรภายในปีพ.ศ. 2568 บ่งชี้ถึงโอกาสครั้งสำคัญของนักลงทุนและผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์”

เพื่อติดตามรายงานข้อมูลเชิงลึก เทรนด์ และความเคลื่อนไหวตามข้อเท็จจริงในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรมในประเทศ พร้อมบทความเชิงวิเคราะห์และความคิดเห็นจากผู้นำในตลาด สามารถติดตาม REDPAPER ได้ที่ redpaper.frasersproperty.co.th


เกี่ยวกับ JLL

JLL จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE: JLL) เป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของโลกในธุรกิจบริการและบริหารการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ JLL มีส่วนสำคัญในการกำหนดอนาคตของอสังหาริมทรัพย์เพื่อโลกที่ดีกว่า ด้วยการสรรค์สร้างโอกาสที่ดี อสังหาริมทรัพย์ที่ยอดเยี่ยม และช่องทางในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งสำหรับลูกค้าและพนักงานของบริษัท ตลอดรวมจนถึงชุมชน โดยอาศัยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าที่สุด JLL เป็นหนึ่งใน 500 บริษัทชั้นนำที่ได้รับการจัดอันดับโดยฟอร์จูน (Fortune 500) ดำเนินธุรกิจในกว่า 80 ประเทศ และมีพนักงานทั่วโลก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 รวมกว่า 98,000 คน ในปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้ทั่วโลกคิดเป็นยอดรวมทั้งสิ้นกว่า 19,400 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ JLL เป็นเครื่องหมายการค้าของ Jones Lang LaSalle Incorporated อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ jll.com