ข่าวสาร

คาดการลงทุนซื้อขายโรงแรมในไทยปีนี้มีมูลค่าแตะ 12,000 ล้านบาท

ปี 2565 มีโรงแรมเปลี่ยนมือ 14 รายการ รวมมูลค่า 11,000 ล้านบาท

กุมภาพันธ์ 13, 2566

ข้อมูลงานวิจัยจากบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล เปิดเผยว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมา มีการลงทุนซื้อขายโรงแรมที่มีคุณภาพเหมาะสำหรับการลงทุนเกิดขึ้นในประเทศไทยรวมทั้งสิ้น 14 รายการ ด้วยมูลค่ารวม 11,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 2564 ที่มีมูลค่าการซื้อขายรวม 12,300 ล้านบาท เนื่องจากมีการซื้อขายบางรายการที่ดำเนินธุรกรรมเสร็จไม่ทันก่อนสิ้นปี ส่วนในปี 2566 นี้ เจแอลแอลคาดว่าการลงทุนซื้อขายจะมีมูลค่าปรับเพิ่มขึ้นเป็น 12,000 ล้านบาท จากการที่นักลงทุนยังคงให้ความสนใจต่อเนื่องในขณะที่มีโรงแรมคุณภาพเหมาะสมเสนอขายในตลาด

นายจักรกริช จักรพันธุ์ ณ อยุธยา รองกรรมการผู้จัดการภาคพื้นเอเชีย หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม เจแอลแอล กล่าวว่า “ปี 2565 ที่ผ่านมา เกือบจะเป็นปีที่มูลค่าการซื้อขายโรงแรมในประเทศไทยทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการณ์โควิด แต่เนื่องจากมีการซื้อขายบางรายการที่ถึงแม้จะทำสัญญาซื้อขายแล้ว แต่ดำเนินธุรกรรมเสร็จไม่ทันก่อนสิ้นปี โดยรายการซื้อขายเหล่านี้ มีมูลค่ารวมประมาณ 4,000 ล้านบาท และจะดำเนินธุรกรรมแล้วเสร็จในช่วงหกเดือนแรกของปีนี้”

“แม้ปี 2565 มูลค่าการลงทุนซื้อขายโรงแรมจะปรับลดลง 10.6% จากปี 2564 แต่ยังคงนับได้ว่าเป็นอีกปีหนึ่งที่มีมูลค่าการซื้อขายสูง เมื่อเทียบกับปี 2563 ซึ่งเป็นปีแรกที่ภาคการท่องเที่ยวของไทยเริ่มได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤติการณ์โควิด โดยในปีนั้นมีการซื้อขายโรงแรมรวมมูลค่าเพียง 1,900 ล้านบาท” นายจักรกริชกล่าว

รายงานของเจแอลแอลระบุว่า โรงแรมที่มีการซื้อขายในปี 2565 เป็นโรงแรมในกรุงเทพฯ ภูเก็ต เกาะสมุย เกาะพะงัน กระบี่ หัวหิน และเชียงใหม่ โดยกรุงเทพฯ ภูเก็ต และเกาะสมุยยังคงเป็นทำเลยังคงเป็นทำเลยอดนิยมของนักลงทุน มีมูลค่ารวมกันคิดเป็นเกือบ 70% ของมูลค่าการซื้อขายที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา

กรุงเทพฯ เป็นตลาดการซื้อขายที่มีมูลค่าสูงสุด คิดเป็นเกือบ 40% ของมูลค่าทั้งหมด การซื้อขายสองรายการสำคัญ ได้แก่ Oakwood Studios Sukhumvit Bangkok ขายให้กับ Worldwide Hotels Pte Ltd (WWH) จากสิงคโปร์ และ Grand Mercure Bangkok Windsor ขายให้กับ แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC) บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย โดยเจแอลแอลเป็นตัวแทนผู้ขายสำหรับทั้งสองรายการนี้

นายจักรกริชกล่าวว่า “สำหรับโรงแรมที่มีการซื้อขายในปี 2565 ผู้ขายเป็นบริษัทหรือธุรกิจครอบครัวชาวไทย ใกล้เคียงกับในฝั่งของผู้ซื้อ ที่พบว่า 80% เป็นการซื้อโดยนักลงทุนไทย ซึ่งต่างจากปี 2564 ที่ราว 60% ของมูลค่าการซื้อขาย เป็นการซื้อโดยนักลงทุนต่างชาติ”

เจแอลแอลระบุว่า AWC เป็นบริษัทที่ซื้อโรงแรมมากที่สุดในปีที่ผ่าน ทั้งนี้ นอกเหนือจาก Grand Mercure Bangkok Windsor แล้ว บริษัทยังได้เข้าซื้อ Westin Siray Bay ที่ภูเก็ต มูลค่าราว 2,500 ล้านบาท และ dusitD2 Chian Mai ซึ่งได้ทำการตกลงซื้อขายในปี 2564 แต่ธุรกรรมการซื้อขายเสร็จสมบูรณ์ในปี 2565

“คาดว่า ปี 2566 จะเป็นอีกปีหนึ่งที่คึกคักสำหรับตลาดการลงทุนซื้อขายโรงแรมของไทย จากการที่นักลงทุนมีการแสดงความสนใจอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการมีรายการเจรจาซื้อขายหลายรายการเกิดขึ้นในขณะนี้ ทำให้เชื่อได้ว่า มูลค่าการลงทุนซื้อขายในปีนี้จะขยับขึ้นไปถึงที่ระดับ 12,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยรายปีของมูลค่าการซื้อขายในช่วง 10 ปีระหว่างปี 2553-2562 ก่อนเกิดวิกฤติการณ์โควิด” นายจักรกริชกล่าว

สอดคล้องกับความเห็นของนายจักรกริช นายรัฐวัฒน์ คูวิจิตรสุวรรณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายบริการที่ปรึกษาและบริหารสินทรัพย์ หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม เจแอลแอล กล่าวว่า “มีปัจจัยต่างๆ ที่จะเอื้อให้มีการซื้อขายโรงแรมมากขึ้นในปีนี้ ได้แก่ การที่เจ้าของโรงแรมหลายรายได้พยายามรักษาโรงแรมของตนไว้ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าของเหล่านี้บางรายกำลังพบกับความท้าทายมากขึ้น จากการที่สถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ เริ่มลดนโยบายการประนอมหนี้ ประกอบกับภาวะที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน ภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากจีนกลับมาเปิดประเทศ ทำให้เจ้าของโรงแรมเหล่านี้ มีความมั่นใจมากขึ้นว่า ตนเองเริ่มอยู่ในสถานะที่ดีขึ้นในการเจรจาการขายกับนักลงทุนที่สนใจจะซื้อ”

“ในด้านนักลงทุน เราพบว่า ยังมีทั้งนักลงทุนไทยและต่างชาติที่ให้ความสนใจอย่างต่อเนื่องในการเข้าซื้อโรงแรมที่มีคุณภาพเหมาะสำหรับการลงทุนในประเทศไทย โดยผลสำรวจความคิดเห็นของนักลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ที่เจแอลแอลจัดทำขึ้น แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้เป็นตลาดโรงแรมที่นักลงทุนให้ความสนใจมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในเอเชียแปซิฟิก รองจากญี่ปุ่น และออสเตรเลีย+นิวซีแลนด์” นายรัฐวัฒน์กล่าว


เกี่ยวกับ JLL

JLL จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE: JLL) เป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของโลกในธุรกิจบริการและบริหารการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ JLL มีบทบาทสำคัญในการกำหนดอนาคตของอสังหาริมทรัพย์เพื่อโลกที่ดีกว่า ด้วยการร่วมสรรสร้างโอกาสที่ดี อสังหาริมทรัพย์ที่เยี่ยมยอด และแนวทางในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งสำหรับลูกค้าและพนักงานของบริษัท ตลอดรวมจนถึงชุมชน โดยอาศัยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าที่สุด JLL เป็นหนึ่งใน 500 บริษัทชั้นนำที่ได้รับการจัดอันดับโดยฟอร์จูน (Fortune 500) ดำเนินธุรกิจในกว่า 80 ประเทศ มีพนักงานทั่วโลก (ณ วันที่ 31 มิถุนายน 2565) รวมกว่า 102,000 คน และมีรายได้ทั่วโลกรวมทั้งสิ้นกว่า 19,400 ล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ JLL เป็นเครื่องหมายการค้าของ Jones Lang LaSalle Incorporated อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ jll.com