ข่าวสาร

การลงทุนซื้อขายอาคารในเอเชียแปซิฟิกครึ่งปีแรกมีมูลค่าลดลง 17% จากปี 64

การชะลอตัวของการลงทุนซื้อขายในจีน ญี่ปุ่น และออสเตรเลียเป็นสาเหตุหลัก

สิงหาคม 22, 2565

รายงานจากบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล เผยให้เห็นว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ การลงทุนซื้อขายอาคารในเอเชียแปซิฟิกมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 70,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับลดลง 17% เมื่อเทียบกับครึ่งแรกปี 2564 หลักๆ เป็นผลมาจากการชะลอตัวของการลงทุนในตลาดใหญ่ๆ ของภูมิภาคในไตรมาสสองเนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยและภาวะเงินเฟ้อ

รายงานของเจแอลแอล ครอบคุลมเฉพาะการลงทุนซื้อขายอาคารโดยตรง ไม่รวมการซื้อขายเข้ากองทรัสต์ การซื้อขายหุ้นของบริษัทเจ้าของอาคาร หรือการซื้อขายบ้าน-คอนโด

นายสจ๊วต โครว์ ซีอีโอหน่วยธุรกิจบริการด้านตลาดทุนภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก เจแอลแอล กล่าวว่า “ปัจจัยภายนอกเชิงลบต่างๆ ที่ก่อตัวขึ้น รวมถึงดอกเบี้ยขาขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนชะลอการลงทุนในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ แม้จะยังมีเงินทุนและความต้องการลงทุนสูง ทั้งนี้ การชะลอตัวของเศรษฐกิจมหภาคและปัญหาเงินเฟ้อ ทำให้มีความเป็นได้ที่ผู้ซื้อผู้ขายจะปรับความคาดหวังต่อราคาเสนอซื้อเสนอขายรอบใหม่”

รายงานของเจแอลแอล ระบุว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ อาคารสำนักงานเป็นสินทรัพย์ที่มีการลงทุนซื้อขายมูลค่าสูงสุดในภูมิภาค โดยมียอดรวมทั้งสิ้น 30,600 ล้านดอลลาร์ แต่ยังคงต่ำกว่าครึ่งแรกปี 2564 โดยปรับลดลงไป 8% ส่วนอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มโรงงาน โกดังและโลจิสติกส์ มีมูลค่าการซื้อขายรวม 14,600 ล้านดอลลาร์ ลดลง 37% การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์กลุ่มค้าปลีก/ศูนย์การค้ามีมูลค่ารวม 14,000 ล้านดอลลาร์ ลดลง 31% ส่วนอสังหาริมทรัพย์นอกกลุ่มหลัก อาทิ ดาต้าเซ็นเตอร์และอพาร์ทเม้นท์ให้เช่า มีมูลค่ารวม 1,400 ล้านดอลลาร์ ลดลง 12%

เกาหลีใต้มีการลงทุนซื้อขายรวม 15,300 ล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่เป็นอาคารสำนักงาน แม้มูลค่าจะใกล้เคียงกับครึ่งแรกปี 2564 แต่ทำให้เกาหลีขึ้นมาเป็นตลาดการซื้อขายอาคารที่มีมูลค่ารวมสูงสุดของภูมิภาคในครึ่งปีแรก

จีนมีมูลค่าสูงเป็นอันดับสองด้วยยอดรวม 14,100 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเมื่อเทียบกับครึ่งแรกปี 2564 มูลค่าลดลงไป 39% ญี่ปุ่นมีมูลค่าซื้อขายรวม 11,500 ล้านดอลลาร์ ลดลง 33% ออสเตรเลียซื้อขายรวม 9,800 ล้านดอลลาร์ ลดลง 27%

อย่างไรก็ดี การลงทุนซื้อขายไม่ได้ปรับลดลงทั้งภูมิภาค อาทิ สิงคโปร์มีมูลค่าการซื้อขายรวม 9,300 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 81% จากครึ่งแรกปี 2564 จากการมีการซื้อขายมูลค่าสูงประเภทอาคารสำนักงานและอาคารมิกซ์ยูส ฮ่องกงซื้อขาย 5,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 18% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงงาน/โกดัง

เทรนด์หนึ่งที่พบว่ามีความสำคัญมากขึ้นคือประเด็นด้านความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลมากขึ้นต่อการตัดสินใจของนักลงทุน เจแอลแอลคาดว่า จะมีการลงทุนที่ใช้กลยุทธ์สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินทรัพย์ให้เห็นมากขึ้น โดยจะเป็นการเข้าซื้ออาคารสำนักงานเก่าเพื่อลงทุนปรับปรุงคุณภาพให้ดีขึ้นรวมถึงการปรับปรุงให้เป็นอาคารเขียว เพื่อตอบสนองความต้องการที่สูงขึ้นของบริษัทผู้เช่าสำหรับการมีออฟฟิศที่มีคุณภาพสูงขึ้นหลังเกิดสถานการณ์โรคระบาด

คลิกที่นี่ เพื่อดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็ม


เกี่ยวกับ JLL

JLL จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE: JLL) เป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของโลกในธุรกิจบริการและบริหารการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ JLL มีบทบาทสำคัญในการกำหนดอนาคตของอสังหาริมทรัพย์เพื่อโลกที่ดีกว่า ด้วยการร่วมสรรสร้างโอกาสที่ดี อสังหาริมทรัพย์ที่เยี่ยมยอด และแนวทางในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งสำหรับลูกค้าและพนักงานของบริษัท ตลอดรวมจนถึงชุมชน โดยอาศัยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าที่สุด JLL เป็นหนึ่งใน 500 บริษัทชั้นนำที่ได้รับการจัดอันดับโดยฟอร์จูน (Fortune 500) ดำเนินธุรกิจในกว่า 80 ประเทศ มีพนักงานทั่วโลก (ณ วันที่ 31 มิถุนายน 2565) รวมกว่า 102,000 คน และมีรายได้ทั่วโลกรวมทั้งสิ้นกว่า 19,400 ล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ JLL เป็นเครื่องหมายการค้าของ Jones Lang LaSalle Incorporated อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ jll.com